ข่าวหุ้น โดย หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
ออเจ้าทำ WORK เรตติ้งตก!! – ไทยรัฐ 23 มีนาคม 2561
เงินไหลเข้าหุ้น – โพสต์ทูเดย์ 23 มีนาคม 2561
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ออกบทวิเคราะห์ หลัง เวิร์คพอยท์ (WORK) เรตติ้งร่วงลงมาอยู่ราว 1.1 ตั้งแต่เดือนพ.ย.60 เป็นต้นมา ขณะที่คู่แข่งอย่าง MONO ช่อง 8 และช่อง ONE เรตติ้งสูงขึ้น รวมทั้งช่อง 3 ที่ได้กระแสละคร “บุพเพสันนิวาส” เข้ามาช่วย จนกวาดเรตติ้งได้ถล่มทลาย แย่งชิงเรตติ้งรายการวาไรตี้ของเวิร์คพอยท์อย่าง I can see your voice และรายการ The Mask Singer 4 เพราะออกอากาศชนกัน แม้ WORK จะพยายามปรับผังรายการ เพิ่มรายการใหม่ไม่ว่าจะเป็น ซีรีย์อินเดีย, รายการ Diva Makeover, รายการ Show me your son, รายการ My Mom Cook และรายการ The Show แต่ก็ยังไม่ปังพอที่จะแก้วิกฤติเรตติ้งครั้งนี้ได้ ทำให้ภาพรวมธุรกิจในอนาคตของ WORK เปลี่ยนไป เรตติ้งยังอยู่ในขาลงเชื่อว่าจะกระทบต่ออัตราค่าโฆษณาในอนาคต เอเซีย พลัส จึงปรับลดประมาณการกำไรของ WORK ในปีนี้ลง 13.7% มาที่ 1.2 พันล้านบาท จากเดิมคาด 1.4 พันล้านบาท ประเมินราคาเหมาะสมใหม่ที่หุ้นละ 66 บาท พร้อมทั้งปรับลดคำแนะนำเป็น Switch จากเดิมแนะนำซื้อ!!
หุ้นอินเทรนด์ BJC – ข่าวหุ้น 23 มีนาคม 2561
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เชื่อว่าประเด็นดังกล่าวเป็นผลบวกต่อ BJC ได้ในระยะยาว แม้ปัจจุบัน Big C เผชิญภาวะการแข่งขันรุนแรงจากคู่แข่งโดยตรง Tesco จัดแคมเปญลดราคาสูง 40% ซึ่งฝ่ายวิจัยได้ปรับลดสมมติฐานยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ปี 2561 จาก 5% มาที่ 2.5% และปรับลดประมาณการกำไรและมูลค่าพื้นฐาน เพื่อสะท้อนปัจจัยกดดันดังกล่าวแล้ว ราคาปัจจุบันยังมี Upside อีกราว 19% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”
จับทิศลงทุนปี 61 กับ Asset Plus – ทันหุ้น 23 มีนาคม 2561
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด มองว่าปี 2561 ยังคงเป็นปีที่ดีของการลงทุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดี เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ แต่อย่างไรก็ตาม ความผันผวนจะเกิดขึ้นระหว่างทางจากปัจจัยต่างๆ ที่ตลาดกังวล ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ความขัดแย้งทางการเมืองหรือสงครามการค้าต่างๆ แต่เรามองว่าสิ่งนี้เป็น Noise ที่เข้ามากระทบตลาด เนื่องจากสิ่งที่ตลาดกังวล เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นเป็นผลกระทบต่อตลาดชั่วครั้งชั่วคราวมากกว่า ซึ่งก็ต้องติดตามว่าจะมีพัฒนาการเป็นอย่างไร ในแง่ของการลงทุน เรายังคงมองว่าการเลือกลงทุนในบริษัทที่ดียังให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ ซึ่งการกระจายไปลงทุนยังต่างประเทศบ้างน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ด้วยเหตุผลหลักก็คือในตลาดต่างประเทศนั้นมีทางเลือกคือบริษัทจดทะเบียนที่หลากหลายกว่า ส่วนตลาดหุ้นไทยจะมีแต่ธุรกิจที่เป็น Old Economy ซึ่งรูปแบบธุรกิจที่น่าสนใจมากในเวลานี้คือธุรกิจที่มีรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่ๆ เช่น มีเทคโนโลยีใหม่ หรือการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในรูปแบบใหม่ ที่เราเรียกว่าเป็นการ Disruption ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะแย่งส่วนแบ่งการตลาดของผู้ประกอบการรายเดิมๆ และมีการเติบโตที่เร็วมาก ตัวอย่างที่พูดถึงกันบ่อยก็คือ เมื่อมีกล้องดิจิตอล บรรดาผู้ประกอบการกล้องฟิล์มที่ปรับตัวช้าก็ค่อยๆ หมดบทบาทลงไปจนอยู่ไม่รอดนั่นเอง
อ่านข่าวหุ้นย้อนหลัง