เพราะปัจจุบัน การออมเงิน ได้ผลตอบแทนน้อยกว่าสมัยก่อนมาก การลงทุนในหุ้นจึงถือได้ว่าเป็นทางเลือกของการสร้างรายได้อีกทางหนึ่งและได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก แต่สำหรับบางท่านก็ยังไม่มั่นใจกับการลงทุนมากนัก เนื่องจากการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวมีผลตอบแทนและความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ หลักในการเลือกหุ้นของนักลงทุนแต่ละท่านมีหลากหลาย เช่น บางท่านเน้นหุ้นคุณค่า (Value Stock) บางท่านชอบหุ้นปันผลสูง (High Dividend Stock) บางท่านชื่นชอบหุ้นเติบโต (Growth Stock) บางคนติดตามหุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) หรือบางท่านก็ถนัดแต่หุ้นเก็งกำไร (Speculative stock) สุดแล้วแต่ “จริต” หรือ “สไตล์” การลงทุนของแต่ละท่าน
วันนี้ ผมขอยกตัวอย่างของ หุ้นปันผลสูง และ หุ้นเติบโต ว่าคืออะไร และหลักการลงทุนในหุ้น 2 ประเภทนี้ มีอะไรบ้าง ดังนี้ครับ
หุ้นปันผลสูง
คือ หุ้นที่มีผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอัตราที่สูง โดยเป็นการจ่ายปันผลเป็นเงินสดที่สม่ำเสมอ ไม่ใช่จ่ายปันผลเป็นหุ้น หุ้นปันผลสูงบางบริษัทเป็นหุ้นกิจการขนาดใหญ่ จึงเป็นที่สนใจของนักลงทุน แต่บางบริษัทก็เป็นกิจการขนาดเล็ก สภาพคล่องไม่มาก จึงอาจต้องคัดเลือกกันซักหน่อย ซึ่งโดยธรรมชาติ หุ้นประเภทนี้ อาจเป็นหุ้นที่อยู่ในธุรกิจที่ไม่ได้ขยายตัวสูงมาก จึงไม่ต้องใช้เงินสดเพื่อลงทุนขยายงานต่อมากนัก จึงสามารถนำมาจ่ายปันผลได้มาก อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนค้นหาหุ้นปันผลดีๆ มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับ นอกจากจะได้ผลตอบแทนเป็น Dividend Yield แล้ว ยังจะได้ Capital Gain ที่เกิดจากการปรับขึ้นของราคาหุ้นอีกด้วย จึงเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว
หุ้นปันผลสูงที่ดี จะหาได้อย่างไร เรามาดูกันนะครับ
- เป็นหุ้นที่มีประวัติในการจ่ายเงินปันผลที่เป็นเงินสดต่อเนื่องกัน (จ่ายจากกำไรสะสม)
- หุ้นที่มีค่าเบต้า (Beta) ต่ำกว่า 1 (ผันผวนน้อยกว่าตลาดฯ)
- ควรเป็นหุ้นที่มีค่า Price to Earning (PER) ต่ำกว่าตลาดฯ (เนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจค่อนข้างมั่นคง)
- ต้องเป็นหุ้นให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) มากกว่า 5% ต่อปี
อย่างที่กล่าวไว้เมื่อครู่ว่า หุ้นปันผลสูงเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว ก็ลองเช็คตัวท่านกันนะครับว่ามีลักษณะชอบหุ้นลักษณะนี้หรือไม่ ถ้าใช่ลุยต่อเลยครับ หรือถ้ายังไม่ใช่ คุณอาจจะชอบหุ้นแนวเติบโตก็ได้ แต่หุ้นลักษณะเติบโตเป็นอย่างไรนั้น ไปชมกันต่อเลยครับ
หุ้นเติบโต
ส่วนใหญ่มักเป็นหุ้นของกิจการที่มีสัญญาณของการขยายตัว หรือเป็นบริษัทที่กำลังเป็นที่สนใจของประเทศ หรือโลก เช่น ธุรกิจด้านไอที ธุรกิจด้านสุขภาพ ธุรกิจด้านความสวยงาม จุดเด่นของหุ้นเหล่านี้ที่เรามักจะเห็นนั้น คือ เติบโตต่อเนื่องทั้งยอดขายและผลกำไร บางบริษัทเติบโตกว่าอุตสาหกรรม หรืออาจมีการขยายตัวของสินทรัพย์ กระแสเงินสดดี มีกำไรต่อหุ้น หรือ ค่า P/E สูงกว่าเมื่อเทียบในอุตสาหกรรมเดียวกัน และมีอัตราจ่ายปันผล (Payout Ratio) และอัตราผลตอบแทนจากปันผล (Dividend Yield) ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับผลกำไรที่ทำได้เพราะเน้นการขยายตัว ดังนั้น หุ้นเติบโตจึงเหมาะกับนักลงทุนที่หวังผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นและรับความเสี่ยงได้สูง
ลักษณะของหุ้นเติบโต แบ่งเป็น 4 ลักษณะใหญ่ ดังนี้
- อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS Growth) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด หรือของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
- อัตราการจ่ายเงินปันผล (Payout Ratio) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด หรือของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
- หุ้นที่มีการซื้อขายที่ P/E Ratio สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด หรือกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
- หุ้นที่การซื้อขายที่ P/BV Ratio สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด หรือกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
ดังนั้น อาจสรุปได้ว่า หุ้นเติบโต มักเป็นหุ้นที่ซื้อขายกันบนความคาดหวังต่อการเติบโตของกำไร (EPS Growth) ที่สูง จึงทำให้ P/E Ratio และ P/BV ratio สูงตามปด้วย แต่ Dividend Yield ต่ำ ซึ่งเป็นธรรมชาติของหุ้นประเภทนี้อีกเช่นกัน
ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้น ต้องท่องให้ขึ้นใจไว้เสมอว่า “High Risk High Return” เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยง แต่หากมองในอีกมุมก็เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการเงินฝากแบบปกติ นักลงทุนทุกท่านจึงควรศึกษารายละเอียดให้ดีก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง และมีการบริหารความเสี่ยงเพื่อลดความสูญเสียให้น้อยที่สุด และตั้งเป้าทำกำไรที่คาดหวังให้เหมาะสม รวมทั้งการมีที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ และพร้อมให้คำปรึกษาทีดี ก็จะทำให้เราเริ่มลงทุนได้อย่างมีผลกำไรนะครับ